Surge Protector ในรางปลั๊กไฟที่ขายทั่วไปป้องกันไฟกระโชกได้หรือไม่ ?

Surge Protector ในรางปลั๊กไฟที่ขายทั่วไปป้องกันไฟกระโชกได้หรือไม่ ?

คำตอบ : อุปกรณ์ Surge Protector ที่ติดตั้งในปลั๊กรางป้องกันไฟกระโชกทั่วไป สามารถใช้ป้องกันไฟกระโชกแบบพื้นฐานได้ คือเป็นไฟกระโชกแบบช่วงสั้นหรือที่เรียกว่า Transient แต่ไม่สามารถป้องกันไฟกระโชกแบบช่วงยาว หรือที่เรียกว่า TOVs (Temporary Over Voltages) ซึ่งการเกิดไฟกระโชกแบบช่วงยาว คือการเกิดไฟกระโชกที่มีระยะเวลาการเกิดนานจาก mSec ถึง a few seconds ซึ่งอุปกรณ์ Surge Protector แบบทั่วไปไม่สามารถที่จะรองรับการเกิดไฟกระโชกแบบช่วงยาวนี้ได้ และไฟกระโชกแบบช่วงยาวนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เปราะบางเสียหายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ท่านจึงควรเลือกใช้แต่อุปกรณ์ Surge Protector ที่มีคุณสมบัติสามารถป้องกันไฟกระโชกทั้งแบบช่วงสั้น Transient และไฟกระโชกแบบช่วงยาว TOVs ได้ในตัวเดียวกัน

Posted in faq

คุณสมบัติที่สำคัญของอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชกที่จะพิจารณาในการเลือกซื้อมีอะไรบ้าง ?

คุณสมบัติที่สำคัญของอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชกที่จะพิจารณาในการเลือกซื้อมีอะไรบ้าง ?

คำตอบ : คุณสมบัติที่สำคัญของอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชกที่จะใช้ในการพิจารณาเลือกซื้อ มีดังนี้
1. ต้องมีความสามารถในการรับไฟกระโชกแบบช่วงสั้น ( Transient ) และแบบช่วงยาว ( TOVs ) ได้
2. ความไวในการทำงานของตัวอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชก ( Response Time ) จะต้องมีค่าน้อยกว่า 25 nSec.
3. จุดเริ่มทำงานของตัวอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชก ( Clamping Voltage ) ควรอยู่ในระดับแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสม เช่น อยู่ระหว่าง 256 และ 315 Volt, 50 Hz
4. ค่าแรงดันไฟฟ้าที่ปรากฏที่โหลด ( Let Through Voltage ) ขณะที่อุปกรณ์ป้องกันกำลังรับไฟกระโชกอยู่ จะต้องมีค่าน้อยกว่า 1kv( Test at Transient 6KV / 3KA ) และ / หรือ มีค่าน้อยกว่า 285 VAC ( Test at TOVs 300 -600 VAC, 50 Hz / 10 – 20 A )

Posted in faq

เป็นที่ถกเถียงกันมานานเกี่ยวกับหัวล่อฟ้าแบบ Franklin Rod กับ Early Streamer Emission

เป็นที่ถกเถียงกันมานานเกี่ยวกับหัวล่อฟ้าแบบ Franklin Rod กับ Early Streamer Emission

คำถาม :จากประสบการณ์ในการขายอุปกรณ์ป้องกัน surge และฟ้าผ่าของบริษัท สตาบิล จำกัด คุณคิดว่าหัวล่อฟ้าแบบ Early Streamer Emission ESE สามารถทำงานได้ตามคำโฆษณาหรือไม่ เพราะราคาแต่งต่างกันหลายร้อยเท่า…คิดว่าผู้ซื้อควรเลือกระบบป้องกันแบบไหนจึงคุ้มกว่ากัน

คำตอบ : เท่าที่ทราบหัวล่อฟ้าแบบ Early Streamer Emission เป็นแบบที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้คิดค้นออกแบบ ซึ่งทางด้านวิชาการยังไม่เป็นที่ยอมรับในสากล โดยหลักการพื้นฐานแล้ว หัวล่อฟ้าต้องมีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี และต้องคงทนต่อการถูกกัดกร่อนจากสภาพแวดล้อม เท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว
ซึ่งบริษัทฯ มีความเห็นว่า ควรเลือกใช้แบบ Franklin Rod แล้วนำเงินส่วนต่างระหว่างหัวล่อฟ้าแบบ Franklin Rod กับ Early Streamer Emission มาใช้ในส่วนของการทำระบบกราวด์ที่ดี ๆ น่าจะคุ้มค่า

Posted in faq

UPS สามารถป้องกันไฟกระโชก ได้หรือไม่ ?

UPS สามารถป้องกันไฟกระโชก ได้หรือไม่ ?

คำตอบ : หน้าที่หลักของ UPS คือสำรองไฟฟ้าให้กับระบบ กล่าวคือเมื่อไฟฟ้าดับ UPS จะทำหน้าที่จ่ายไฟฟ้าทันทีทันใดอย่างต่อเนื่องให้กับอุปกรณ์ใช้งานต่าง ๆ ( Load ) ที่ต่ออยู่ด้านหลังของ UPS เสมือนหนึ่งว่าไม่มีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเกิดขึ้น และเนื่องจากการติดตั้ง UPS เป็นการติดตั้งแบบอนุกรมกับระบบไฟฟ้า โดยมีอุปกรณ์ใช้งานต่าง ๆ ( Load ) ต่ออยู่ด้านหลังของ UPS ดังนั้น เมื่อมีไฟกระโชกเข้ามาในระบบ ลำดับแรก ( ด่านแรก ) ที่จะถูกทำลายก่อนคือ UPS ลำดับต่อมาที่จะถูกทำลายคืออุปกรณ์ใช้งานต่าง ๆ ( Load ) ที่ต่ออยู่หลัง UPS จึงเป็นเหตุให้ผู้ใช้งานเข้าใจว่า UPS สามารถป้องกันไฟกระโชกได้ ซึ่งไม่ถูกต้อง เช่น ในกรณีเกิดไฟกระโชกอย่างรุนแรงมาก ๆ หลังจากที่ UPS เสียหายแล้ว ความรุนแรงของไฟกระโชกอาจยังมีมากพอที่จะหลุดเข้ามาทำลายอุปกรณ์ใช้งานต่าง ๆ ( Load ) ที่ต่ออยู่ด้านหลังของ UPS ได้
หมายเหตุ : อุปกรณ์ Stabilizer , Voltage regulator, Line Conditioner ไม่สามารถป้องกันไฟกระโชกได้ โดยมีหลักการทำงานเช่นเดียวกับ UPS ดังกล่าวข้างต้น

Posted in faq

การเลือกซื้อขนาดของอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชก ควรเลือกอย่างไร ?

การเลือกซื้อขนาดของอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชก ควรเลือกอย่างไร ?

คำตอบ : เป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดไฟกระโชกเมื่อใด ? และมีขนาดเท่าไร ? แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อขนาดของอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชก มีดังนี้คือ

1. สถานที่ที่อุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชกจะถูกนำมาติดตั้ง ว่าเป็นพื้นที่ล่อแหลมมากน้อยแค่ไหน เช่น อยู่บนเขาหรืออยู่บนพื้นที่โล่ง ก็ควรที่จะเลือกอุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชกขนาด 100KA at 8/20 µSec. แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่ไม่ล่อแหลม ก็เลือกขนาด 40KA at 8/20 µSec. เป็นต้น

2. มูลค่าของอุปกรณ์โหลดต่าง ๆ ที่จะต้องป้องกัน รวมถึงมูลค่าทางอ้อม เช่น down time ด้วย ซึ่งเมื่อเกิดความเสียหายกับอุปกรณ์โหลดต่าง ๆ แล้ว ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายหรือขาดรายรับเป็นจำนวนมาก ก็ต้องซื้ออุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชกที่มีคุณภาพสูง สามารถป้องกันไฟกระโชกแบบช่วงยาว ( TOVs ) ได้ด้วย เช่น Transient 100KA at 8/20 µSec. และ TOVs 10A 3 Sec. เป็นต้น

Posted in faq

การทำระบบป้องกันฟ้าผ่าและระบบสายดินที่ได้มาตรฐาน ควรทำอย่างไร

การทำระบบป้องกันฟ้าผ่าและระบบสายดินที่ได้มาตรฐาน ควรทำอย่างไร?

คำถาม : พอดีต้องการทำระบบป้องกันฟ้าผ่าและระบบสายดิน ที่เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับระบบกราวด์ของทั่วโลก จากที่อ่านข้อมูลจาก websites ต่างประเทศ และข้อมูลจากหลายๆ บริษัท จะต่อกราวด์ของทุกระบบเข้าที่ Building Ground ที่เดียว โดยเน้นว่าต้องเป็นกราวด์จุดเดียว Common Grounding Electrode for All System Grounding in or at a Building, it’s a must. ไม่ว่าจะเป็น กราวด์ของระบบแอร์ ระบบโทรศัพท์ ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบ UPS etc… โดยให้เหตุผลว่า

1. ถ้ามี Ground หลายอัน จะเกิดกราวด์ลูป, กราวด์ของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ รวมถึงกราวด์ของระบบฟ้าผ่า ควรรวมเป็นจุดเดียวกัน ที่ Building Ground เป็น Common Ground. – การ jump กราวด์ เข้ากับ neutral มากกว่า 1 จุด ก็จะทำให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน
2. ถ้ามีฟ้าผ่า แล้วมี ground หลายจุด จะเกิดความต่างศักย์ระหว่าง Ground Rod ทำให้เกิดอันตรายมากๆ จึงกำหนดว่าต้องต่อร่วมกัน Must be connected to the same Earth/Ground electrode system. If separated, there will be gradient between two grounding systems which could lead to flashover or even electric shock.
แต่ บจก.สตาบิล นั้น กราวด์ฟ้าผ่าและกราวด์ของระบบไฟฟ้าแยกจากกัน จะกลับกันกับ 2 ข้อข้างบน ไม่ทราบมีเหตุผลมาหักล้างสองข้อข้างบนอย่างไร

คำตอบ :

1. ระบบกราวด์แบบกราวด์ลึก ซึ่งมีความลึกตั้งแต่ 12 เมตรขึ้นไป ที่บริษัท สตาบิล จำกัด ได้นำเสนอนั้น ได้ระบุให้มีการแยกแท่งกราวด์ระบบ ( SG ) ออกจากแท่งกราวด์ฟ้าผ่า ( LG ) อย่างชัดเจน แต่จริงๆ แล้วเมื่อมองให้ลึกเข้าไปถึงการเชื่อมต่อกันทางวงจรไฟฟ้า การทำกราวด์แบบกราวด์ลึกจะมีการเชื่อมต่อกันทางไฟฟ้าเช่นเดียวกับการทำกราวด์แบบมาตรฐานทั่วไป ที่ใช้หลักการของการทำให้เกิด Equip Potential หรือ Same Potential เพื่อไม่ให้เกิดความต่างศักย์ขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งของระบบกราวด์ไฟฟ้าในขณะที่เกิดฟ้าผ่า หรือไฟกระโชก จึงทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่ออยู่ในระบบนั้นได้รับความปลอดภัย เพียงแต่การทำกราวด์แบบ บจก. สตาบิล นั้น จะไม่มีการทำ Equip Potential ของแท่งกราวด์ระบบ ( SG ) กับแท่งกราวด์ฟ้าผ่า ( LG ) ที่ระดับผิวดิน แต่จะไปทำการ Equip Potential ที่ Common Earth หรือจุดศูนย์ร่วมของดินแทน

2. การทำให้เกิด Equip Potential คือการนำจุดเชื่อมต่อกราวด์ต่างๆ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเสมือนให้เป็นจุดๆเดียว ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิดความต่างศักย์กันทางไฟฟ้าเมื่อมีกระแสฟ้าผ่า หรือกระแสไฟกระโชกขึ้นในระบบฯ ดังนั้นการทำกราวด์แบบมาตรฐานทั่วไปจึงระบุให้ต้องทำการเชื่อมต่อระบบกราวด์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น กราวด์ฟ้าผ่า กราวด์ระบบ กราวด์ไฟฟ้าสื่อสาร หรืออื่นๆ และให้เชื่อมต่อเข้ากันกับแท่งกราวด์และโครงสร้างอาคาร ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการ Equip Potential หรือ Same Potential นั่นเอง

3. การทำกราวด์แบบ บจก.สตาบิล นั้น เป็นการทำกราวด์แบบกราวด์ลึกซึ่งจะกำหนดค่าความต้านทานดินของแท่งกราวด์แบบแท่งกราวด์เดี่ยว ให้มีค่าเข้าใกล้ 0 โอห์มมากที่สุด ดังนั้นค่า คตท ดินของแท่งกราวด์ที่วัดได้จึงเป็นค่า คตท ดินของแท่งกราวด์เดี่ยวเทียบกับ Common Earth ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนว่า แท่งกราวด์ระบบ ( SG ) กับแท่งกราวด์ฟ้าผ่า ( LG ) นั้นได้ถูกเชื่อมต่อกันทางไฟฟ้า และเกิดการ Equip Potential ณ ที่จุด Common Earth นี้เอง
จากประสบการณ์การที่บริษัท สตาบิล จำกัด ได้จากติดตั้งและปรับปรุงระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าและระบบสายดินมามากกว่า 26 ปีที่ผ่านมาพบว่า การทำกราวด์แบบมาตรฐานทั่วไปนั้น แม้ว่าค่า คตท ดินรวมของแท่งกราวด์จะต่ำและมีการทำ Equip Potential ของระบบกราวด์ที่ระดับผิวดินแล้วก็ตาม แต่ระบบฯ ก็ยังคงได้รับความเสียหายจากฟ้าผ่าและไฟกระโชกอยู่เป็นจำนวนมาก บริษัทฯ จึงได้ทำการปรับปรุงโดยการติดตั้งระบบกราวด์แบบกราวด์ลึกเป็นการทดแทน และพบว่าระบบไฟฟ้าที่เคยเกิดปัญหานั้น มีเสถียรภาพการทำงานที่ดีขึ้นและไม่ได้รับความเสียหายจากฟ้าผ่าและไฟกระโชกที่เคยเกิดขึ้นอีกเลย ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายจากฟ้าผ่าและไฟกระโชกที่อาจเกิดขึ้นกับท่าน การทำกราวด์แบบกราวด์ลึกจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการทำกราวด์ที่น่าสนใจและให้ผลคุ้มค่าต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก

Posted in faq

Surge Protector ในรางปลั๊กไฟมาใช้กับระบบไฟฟ้าในอาคารที่ไม่มีกราวด์จะทำหน้าที่ป้องกันได้หรือไม่?

ถ้านำ Surge Protector ในรางปลั๊กไฟที่ขายทั่วไป มาใช้กับระบบไฟฟ้าในอาคารที่ไม่มีกราวด์ (ปลั๊กไฟแบบเก่าที่มี 2 รู) เวลาเกิดไฟกระโชก ตัวอุปกรณ์ Surge Protector จะทำหน้าที่ป้องกันได้หรือไม่?

คำตอบ : เนื่องจากระบบไฟฟ้าของประเทศไทยเป็นแบบ TN-C-S ซึ่งกำหนดให้มีการปักแท่งกราวด์ภายในบ้าน บริเวณตู้ MDB (ตู้เมนไฟ) และกำหนดให้ทำการเชื่อมต่อสายกราวด์กับสาย Neutral เข้าด้วยกัน (ที่ตู้ MDB เท่านั้น) จึงทำให้การนำปลั๊กรางป้องกันไฟกระโชกมาเสียบใช้งานกับปลั๊ก (ที่ผนังกำแพง) แบบ 2 รูที่ไม่มีกราวด์ หรือปลั๊กแบบ 3 รูที่มีกราวด์ ก็จะมีประสิทธิภาพในการทำงานเท่ากัน คือสามารถใช้งานในการป้องกันไฟกระโชกได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากเมื่อเกิดไฟกระโชกขึ้น อุปกรณ์ป้องกันจะทำการดึงไฟกระโชกที่เกิดขึ้นจากสาย Line ผ่านตัวอุปกรณ์ฯ ส่งกลับไปยังสาย Neutral เพื่อลงกราวด์ที่แท่งกราวด์ที่ตู้ MDB จึงทำให้การระบายกระแสไฟกระโชกที่เกิดขึ้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามการระบายกระแสไฟกระโชกจะทำได้ดีและรวดเร็วเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของระบบสายดินที่ทำการติดตั้งนั้นๆ ด้วย กรณีที่บ้านพักอาศัยไม่มีการติดตั้งแท่งกราวด์ที่บริเวณตู้ MDB เมื่อเกิดไฟกระโชกขึ้น ปลั๊กรางป้องกันไฟกระโชกจะทำการดึงไฟกระโชกที่เกิดขึ้นจากสาย Line ผ่านตัวอุปกรณ์ฯ ส่งกลับไปยังสาย Neutral เพื่อไปลงกราวด์ที่แท่งกราวด์ของหม้อแปลงไฟฟ้า หรือที่จุด Multi Point Ground ของการไฟฟ้าบริเวณภายนอกอาคารที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งการระบายกระแสไฟกระโชกจะทำได้ดีและรวดเร็วเพียงใดนั้น ก็ขึ้นกับระยะทางและประสิทธิภาพของแท่งกราวด์ของการไฟฟ้านั้นๆ ด้วย ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วประสิทธิภาพของปลั๊กรางป้องกันไฟกระโชกเมื่อเสียบใช้งานร่วมกับปลั๊ก(ที่ผนังกำแพง) แบบ 2 รูที่ไม่มีกราวด์ หรือปลั๊กแบบ 3 รูที่มีกราวด์ ก็จะให้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ไม่แตกต่างกัน

กรณีที่ไม่มีการติดตั้งแท่งกราวด์ภายในบ้านบริเวณตู้ MDB จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ฯ ลดลงไปเหลือเพียง 70-80 % เนื่องจากกระแสไฟกระโชกจะถูกนำไปลงกราวด์ที่แท่งกราวด์ของการไฟฟ้าในบริเวณที่อยู่ไกลออกไปนั่นเอง หมายเหตุ การปักแท่งกราวด์ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันหลายแบบและหลายวิธี แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเราขอแนะนำการทำกราวด์แบบแท่งกราวด์ลึก เพราะให้ประสิทธิภาพสูงสุดในสภาพภูมิประเทศแบบประเทศไทย ซึ่งขอสรุปง่ายๆ คือทำการเจาะฝังแท่งกราวด์ที่ความลึกอย่างน้อย 12 เมตรในเขตกรุงเทพฯ หรือที่ความลึกอย่างน้อย 24 เมตรในต่างจังหวัด โดยแท่

Posted in faq

ไฟกระโชก ไฟกระชาก หรือ Surge คืออะไร

ไฟกระโชก ไฟกระชาก หรือ Surge คืออะไร

คำตอบ : ไฟกระโชก ไฟกระชาก หรือ Surge คือ แรงดันไฟฟ้าสูง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน จากการเหนี่ยวนำของสภาวะ ต่าง ๆ เช่น ฟ้าผ่า การตัดต่อหรือการลัดวงจรในระบบสายส่งไฟฟ้ากำลัง การเปิด-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังขนาดใหญ่ เป็นต้น โดยเหนี่ยวนำหรือปะปนเข้ามาในระบบไฟฟ้าที่ใช้งาน เช่น single phase 230 Volt 50 Hz. หรือ three phase four wire 380/220 Volt 50 Hz. รวมถึงเข้ามาทางคู่สายสัญญาณต่าง ๆ เช่น คู่สายโทรศัพท์ และ/หรือ คู่สายวงจรเช่า เป็นต้น ซึ่งมีผลทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ( Load ) ที่ต่อใช้งานอยู่ได้รับความเสียหายได้

โดยไฟกระโชก ไฟกระชาก หรือ Surge แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ

1. ไฟกระโชกแบบช่วงสั้น ( Transient ) คือ สภาวะการเกิดแรงดันไฟฟ้าสูง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันใน ช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น เศษหนึ่งส่วนล้านของวินาที เป็นต้น

2. ไฟกระโชกแบบช่วงยาว ( TOVs ) คือ สภาวะการเกิดแรงดันไฟฟ้าสูง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในช่วง เวลานานไม่เกิน 3 วินาที ( Less than a few seconds )

vdo ไฟกระชากคืออะไร ไฟกระชากมีกี่แบบ

Posted in faq
STABIL
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.